คู่มือวางแผนภาษี ฉบับมนุษย์เงินเดือน วางแผนยังไงดี? 2024

คู่มือวางแผนภาษี ฉบับมนุษย์เงินเดือน วางแผนยังไงดี? 2024

สวัสดีชาวมนุษย์เงินเดือนทุกคน! ใกล้สิ้นปีแบบนี้ หลายคนคงเริ่มคิดถึงเรื่องภาษีกันแล้วใช่ไหมล่ะ? แต่เอ๊ะ…ทำไมเรื่องภาษีมันดูยุ่งยากจัง? จะลดหย่อนยังไงให้คุ้ม? ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง? อย่าเพิ่งเครียดไป! บทความนี้จะมาเป็นคู่มือช่วยวางแผนภาษีให้เพื่อนๆ ทุกคนแบบง่ายๆ สบายๆ เข้าใจได้ ไม่ต้องงง

ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือนมือใหม่ หรือทำงานมานานแล้วแต่ยังไม่เคยใส่ใจเรื่องภาษีมาก่อน บทความนี้มีคำตอบให้ทุกข้อสงสัย ตั้งแต่พื้นฐานการคำนวณภาษี สิทธิลดหย่อนต่างๆ ที่คุณควรรู้ ไปจนถึงเทคนิคการวางแผนภาษีให้จ่ายน้อยลงแบบถูกกฎหมาย แถมยังมีตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ อีกด้วย

บอกเลยว่าอ่านจบแล้ว คุณจะไม่มองเรื่องภาษีเป็นเรื่องน่าปวดหัวอีกต่อไป แถมยังอาจจะรู้สึกสนุกกับการวางแผนภาษีเพื่อให้เงินเดือนเหลือเก็บมากขึ้นอีกด้วย! พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย!

เริ่มต้นวางแผนภาษี: ปูพื้นฐานให้แน่น

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจ ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบบง่าย ๆ กันก่อน ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือระบบที่รัฐบาลใช้ในการจัดเก็บภาษีจากรายได้ของประชาชนทั่วไป เพื่อนำเงินเหล่านี้ไปพัฒนาประเทศและให้บริการสาธารณะต่าง ๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน

ใครบ้างต้องเสียภาษี?

บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91) ภายในกำหนดเวลา หากมีภาษีที่ต้องชำระ ก็ต้องชำระภายในกำหนดเวลาเช่นกัน

เงินได้ประเภทไหนบ้างที่ต้องเสียภาษี?

เพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนรู้ไหมว่า เงินที่เราได้รับเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะได้มาเต็มๆ นะ เพราะบางส่วนเราต้องแบ่งให้คุณสรรพากรด้วยล่ะ! แต่ไม่ต้องตกใจไป เพราะไม่ใช่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราได้มาจะต้องเสียภาษี โดยทั่วไปแล้ว เงินได้ที่เราต้องเสียภาษีจะแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้

เงินได้ประเภทที่ 1

เงินได้ที่เกิดจากการจ้างแรงงาน นั่นเอง ง่ายๆ เลยก็คือ เงินเดือน ของเรานั่นแหละ! แต่ไม่ใช่แค่เงินเดือนประจำอย่างเดียวนะ ยังรวมถึง โบนัส ค่าล่วงเวลา(OT) ค่าคอมมิชชั่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่นายจ้างจัดให้ ก็ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 1 ด้วย

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าเป็นเงินที่เราได้จากการทำงานให้กับนายจ้าง ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร ก็ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 1 ทั้งหมด และแน่นอนว่าต้องเสียภาษีด้วยนะ

เงินได้ประเภทที่ 2

เงินได้ที่เกิดจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ โดยไม่ได้เป็นการจ้างแรงงานโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด เบี้ยประชุม หรือโบนัสที่ได้รับจากการทำงานนอกเหนือจากงานประจำ เช่น โบนัสจากการขายสินค้าได้ตามเป้า

นอกจากนี้ เงินได้ประเภทที่ 2 ยังรวมถึง เงินได้อื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากหน้าที่หรือตำแหน่งงาน เช่น ค่าเช่าบ้านพักที่บริษัทจัดให้ หรือค่าตอบแทนในการเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด เป็นต้น

เงินได้ประเภทที่ 3

เงินได้ประเภทที่ 3 คือ เงินได้ที่เกิดจากการขายสิทธิ หรือ การได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ไม่ใช่เพื่อการค้า เช่น ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สินทางปัญญา เงินรายปีที่ได้รับเป็นงวดๆ ตามสัญญา หรือพินัยกรรม เช่น เงินบำนาญ เงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น

เพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนอาจจะไม่คุ้นเคยกับ “เงินได้ประเภทที่ 3” มากนัก เพราะไม่ได้พบเจอกันบ่อยๆ เหมือนเงินเดือนหรือเงินปันผล แต่ถ้าบังเอิญมีรายได้ที่เข้าข่ายประเภทนี้ ก็ควรรู้ไว้ เพื่อจะได้วางแผนภาษีได้ถูกต้องนะ

จะเห็นได้ว่า เงินได้ประเภทที่ 3 มักเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ไม่ใช่การขายสินค้าหรือบริการทั่วไป ซึ่งอาจทำให้หลายคนไม่คุ้นเคย

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ (Goodwill) หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “ค่าความนิยม” คือ มูลค่าที่เกิดขึ้นจากชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และความนิยมของธุรกิจ ซึ่งทำให้ธุรกิจนั้นมีศักยภาพในการสร้างรายได้มากกว่าธุรกิจอื่นๆ ในประเภทเดียวกัน

ลองนึกถึงร้านอาหารสองร้านที่ขายอาหารเหมือนกัน รสชาติใกล้เคียงกัน ราคาเท่ากัน แต่ร้านหนึ่งมีคนต่อคิวเยอะมาก ส่วนอีกร้านเงียบเหงา นั่นเป็นเพราะร้านแรกมี “ค่าแห่งกู๊ดวิลล์” สูงกว่า อาจจะมาจากหลายปัจจัย

ค่าแห่งกู๊ดวิลล์นี้เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ แต่มีมูลค่าในทางธุรกิจ หากมีคนต้องการซื้อกิจการร้านอาหารที่มีค่าแห่งกู๊ดวิลล์สูง ก็ต้องจ่ายเงินมากกว่าร้านที่ไม่มีชื่อเสียง

เงินได้ประเภทที่ 4

เงินได้ประเภทที่ 4 คือ เงินได้ที่เกิดจากการลงทุน หรือการได้มาซึ่งทรัพย์สินเพื่อการค้า เงินได้ประเภทนี้ อาจจะใกล้ตัวเพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนหลายคนมากกว่าที่คิด เพราะเป็นเงินได้ที่เกิดจาก ดอกเบี้ย เงินปันผล หรือผลตอบแทนจากการลงทุน ต่างๆ นั่นเอง ใครที่ชอบฝากเงิน เก็บหุ้น หรือลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ก็ต้องรู้จักเงินได้ประเภทนี้ไว้ด้วยนะคะ

เงินได้ประเภทที่ 5

มาถึงเงินได้ประเภทที่ 5 กันบ้าง! ประเภทนี้เพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนที่ชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์น่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นเงินได้ที่เกี่ยวกับการ ให้เช่าทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็น ค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าที่ดิน ค่าเช่าอาคารพาณิชย์ หรือค่าเช่าทรัพย์สินอื่นๆ อย่างรถยนต์ เครื่องจักร เป็นต้น

นอกจากนี้ยังรวมถึง เงินที่ได้จากการผิดสัญญาเช่าซื้อ หรือ การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน ด้วยนะ เช่น ถ้าเราซื้อรถยนต์แบบเช่าซื้อ แล้วผิดสัญญาไม่ผ่อนต่อ ก็อาจมีเงินที่ต้องเสียภาษีในส่วนนี้ด้วย

เงินได้ประเภทที่ 6

เงินได้ประเภทที่ 6 คือ เงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ ซึ่งหมายถึงรายได้ที่ได้รับจากการทำงานที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถเฉพาะทาง และไม่ได้เป็นการจ้างแรงงานโดยตรง คนไหนที่เป็นฟรีแลนซ์ เงินได้ก็จะอยู่ในประเภทนี้ด้วย ไปดูตัวอย่างอาชีพกัน

เงินได้จากวิชาชีพเฉพาะทาง เช่น ทนายความ แพทย์ วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี นักจิตวิทยา นักแปลภาษา ที่ปรึกษา นักเขียน นักออกแบบ หรืออาชีพอื่นๆ ที่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ

เงินได้จากการรับทำงานอิสระ เช่น รับเขียนบทความ รับถ่ายภาพ รับออกแบบเว็บไซต์ รับสอนพิเศษ หรือรับงานอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นการจ้างงานประจำ

เงินได้จากการขายผลงาน เช่น ขายภาพวาด ขายงานประดิษฐ์ ขายหนังสือที่ตัวเองเขียน หรือขายผลงานอื่นๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง

เงินได้ประเภทที่ 7

เงินได้ประเภทที่นี้ คือ เงินได้จากการรับเหมา ซึ่งหมายถึงรายได้ที่ได้รับจากการตกลงทำงานให้กับผู้อื่น โดยมีข้อตกลงเกี่ยวกับขอบเขตงาน ระยะเวลา และค่าตอบแทนที่แน่นอน ยกตัวอย่างเช่น

  • ค่ารับเหมาก่อสร้าง เช่น รับสร้างบ้าน สร้างอาคาร หรือต่อเติมบ้าน
  • ค่ารับเหมาผลิตสินค้า เช่น รับทำเสื้อผ้าตามแบบ รับทำเฟอร์นิเจอร์ตามสั่ง
  • ค่ารับเหมาติดตั้ง เช่น รับติดตั้งเครื่องปรับอากาศ รับติดตั้งระบบไฟฟ้า หรือรับติดตั้งระบบประปา

สิ่งสำคัญที่ต้องจำเกี่ยวกับเงินได้ประเภทที่ 7 คือ ผู้รับเหมาต้องเป็นผู้ ลงทุนจัดหาสัมภาระ ในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ เช่น วัสดุก่อสร้าง หรือวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ซึ่งแตกต่างจากการรับจ้างทั่วไปที่ผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้นั้นเอง

เงินได้ประเภทที่ 8

มาถึงเงินได้ประเภทสุดท้ายกันแล้ว! เงินได้ประเภทที่ 8 นี้ ถือเป็นประเภทที่กว้างที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นเงินได้จากการธุรกิจ พาณิชย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การขนส่ง หรือรายได้อื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ใน 7 ประเภทแรก ตัวอย่างรายได้ประเภทนี้ เช่น

  • เงินได้จากการทำธุรกิจ เช่น เปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านเสริมสวย หรือธุรกิจอื่นๆ
  • เงินได้จากการขายสินค้าออนไลน์
  • เงินได้จากการให้บริการ เช่น รับจ้างทำเว็บไซต์ รับจ้างสอนพิเศษ รับจ้างถ่ายภาพ หรือให้บริการอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นการจ้างแรงงานโดยตรง
  • เงินได้จากการลงทุน เช่น กำไรจากการขายกองทุนรวม RMF, LTF หรือการขายอสังหาริมทรัพย์
  • เงินได้จากการเป็นนักแสดงสาธารณะ เช่น นักร้อง นักแสดง พิธีกร หรืออินฟลูเอนเซอร์

จะเห็นได้ว่า เงินได้ประเภทที่ 8 ครอบคลุมรายได้ที่หลากหลายมากๆ ซึ่งอาจทำให้เพื่อนๆ สับสนได้ว่ารายได้ของตัวเองจัดอยู่ในประเภทไหน หรือถ้าไม่แน่ใจว่ารายได้ของตัวเองจัดอยู่ในเงินได้ประเภทไหน ลองตรวจสอบกับข้อมูลในเว็บไซต์กรมสรรพากร หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อความถูกต้องและชัดเจนก็ได้นะ

อ่านบทความประเภทเงินรายได้ที่ต้องเสียภาษีจากกรมสรรพากรได้ที่นี่:
https://www.rd.go.th/553.html

อย่าลืมว่าถึงแม้จะเป็นรายได้ประเภทไหน ก็ต้องนำมารวมในการคำนวณภาษีด้วยนะ แต่เรายังมีสิทธิลดหย่อนภาษีต่างๆ ที่จะช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลงได้ ซึ่งเราจะมาพูดถึงในหัวข้อต่อไปค่ะ

สิทธิลดหย่อนภาษี: ตัวช่วยประหยัดเงิน

มาถึงเรื่องที่ทุกคนรอคอย! สิทธิลดหย่อนภาษี คือตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้เราจ่ายภาษีน้อยลงได้แบบถูกกฎหมาย ซึ่งมีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละคน มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

คู่มือวางแผนภาษี กลุ่มลดหย่อนจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวและครอบครัว

กลุ่มลดหย่อนจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวและครอบครัว

  • ลดหย่อนส่วนตัว ทุกคนมีสิทธิลดหย่อนนี้ 60,000 บาท โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ
  • ลดหย่อนคู่สมรส ถ้าแต่งงานแล้ว สามารถลดหย่อนคู่สมรสได้อีก 60,000 บาท แต่คู่สมรสต้องไม่มีรายได้
  • ลดหย่อนบุตร มีลูกก็ลดหย่อนได้ คนละ 30,000 บาท (สูงสุดไม่เกิน 3 คน)
  • ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ละครั้งไม่เกิน 60,000 บาท
  • ลดหย่อนบิดามารดา ลดหย่อนค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ คนละ 30,000 บาท (ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และไม่มีรายได้)
  • ลดหย่อนคนพิการหรือทุพพลภาพ ถ้าเราดูแลคนพิการหรือทุพพลภาพที่อยู่ในความอุปการะ สามารถลดหย่อนได้ 60,000 บาท

กลุ่มลดหย่อนจากประกัน กองทุน การออมและการลงทุน

หมวดประกัน

  • ประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์ ที่มีระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
  • ประกันสุขภาพ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท
  • ประกันสุขภาพของพ่อแม่ ลดหย่อนได้คนละไม่เกิน 15,000 บาท
  • ประกันสังคม ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท

อ่านบทความ: ประกันลดหย่อนภาษี 2567 วางแผนภาษีง่ายๆ ลดยังไงให้คุ้มที่สุด?

หมวดกองทุน การออม และการลงทุน

  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินเดือน และไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ลดหย่อนได้ได้ตามที่จ่ายจริง 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 200,000 บาท (เมื่อรวมกับ RMF ไม่เกิน 500,000 บาท)
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.): ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท (เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อน 13,200 บาท)

กลุ่มเงินบริจาค

รายการลดหย่อนภาษีในหมวดเงินบริจาค มีหลากหลายประเภทเลย เพื่อนๆ สามารถเลือกบริจาคให้กับองค์กร หรือโครงการที่สนใจ และนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  1. เงินบริจาคทั่วไป เช่น บริจาคให้แก่วัดวาอาราม สภากาชาดไทย สถานพยาบาลของรัฐ องค์การสาธารณกุศลต่างๆ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนภาษีแล้ว
  2. เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา และการสาธารณประโยชน์ สามารถนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนภาษีแล้ว
  3. เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง สามารถลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท

กลุ่มโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ

เทคนิคลดหย่อนภาษี วางแผนยังไงให้คุ้มค่าที่สุด

เพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนหลายคนอาจจะมองว่าเรื่องภาษีเป็นเรื่องน่าปวดหัว แต่จริงๆ แล้วถ้าเราวางแผนดีๆ ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้เยอะเลยนะ แถมยังช่วยให้เรามีเงินเหลือเก็บมากขึ้นอีกด้วย วันนี้เราเลยมีเทคนิคดีๆ มาฝากกัน รับรองว่าอ่านจบแล้วจะวางแผนภาษีได้อย่างมือโปร!

รู้จักสิทธิลดหย่อนให้ครบ
ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ว่าเรามีสิทธิลดหย่อนอะไรบ้าง เพราะสิทธิลดหย่อนแต่ละอย่างมีเงื่อนไขและวงเงินที่แตกต่างกันไป ลองสำรวจตัวเองดูว่าเข้าข่ายได้รับสิทธิลดหย่อนอะไรบ้าง เช่น มีบุตร มีคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ มีการลงทุนใน LTF RMF หรือมีการบริจาคเงินให้กับองค์กรต่างๆ

วางแผนการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี
การลงทุนในเครื่องมือทางการเงินบางประเภท เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) หรือประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วยนะ ลองศึกษาข้อมูลและเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของเราดู

ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิตอย่างชาญฉลาด
บางช่วงเวลาจะมีมาตรการจากรัฐบาลที่ช่วยลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิต เช่น “ช้อปดีมีคืน” ลองวางแผนการใช้จ่ายให้ตรงกับช่วงเวลานั้นๆ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ให้เต็มที่

เก็บหลักฐานการใช้จ่ายและการลงทุนให้ครบถ้วน
หลักฐานต่างๆ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งยอดเงินฝาก ใบรับรองการลงทุน เป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ยืนยันการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของเรา ดังนั้นควรเก็บรักษาไว้อย่างดี

ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับภาษี
กฎหมายภาษีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับภาษีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เราไม่พลาดสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ

วางแผนภาษี โดยใช้เครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์

ใช้เครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์

เพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนที่กำลังมองหาเครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์ เพื่อช่วยวางแผนภาษีให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น มาทางนี้เลย! เรามีเครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์จากแหล่งต่างๆ มาแนะนำให้ลองใช้กัน

เครื่องมือคำนวณภาษีจากบริษัทจัดการกองทุน:

เครื่องมือคำนวณภาษีจากธนาคารและบริษัทประกัน: