เมื่อก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าร่างกายของเรามีเสื่อมถอยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ บทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “5 โรคในผู้สูงอายุที่พบบ่อย” ซึ่งเปรียบเสมือนอันตรายใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม โรคเหล่านี้พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต หากรู้เท่าทัน เข้าใจ และหมั่นดูแลป้องกัน ย่อมช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหล่านี้ได้
ในแต่ละโรคจะมีอาการ สาเหตุ และวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในบทความนี้ เราจะเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับโรคทั้ง 5 นี้ เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจ และสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและผู้สูงอายุที่ท่านรักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
ภัยเงียบร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เป็นโรคในผู้ สูงอายุที่พบบ่อย เกิดจากการสะสมของคราบไขมัน (ไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์) ในหลอดเลือดแดง ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดหนา แข็ง และตีบแคบลง เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง ส่งผลต่อการทำงานของสมอง
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน หรือที่เรียกว่า โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน เกิดขึ้นเมื่อ หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง ถูกบางสิ่งบางอย่างอุดตัน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนนั้นไม่เพียงพอ เสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ตัวอย่างอาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบตันในผู้สูงอายุที่พบได้ เช่น
- ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า แขนขา ซีกใดซีกหนึ่ง มักจะรู้สึกชาหรืออ่อนแรงแบบเฉียบพลัน
- พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว พูดลำบาก หรือไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูด
- มองเห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วน
- เดินเซ ทรงตัวลำบาก เดินเซ หรือรู้สึกเหมือนจะล้ม
- ปวดศีรษะรุนแรง ปวดศีรษะแบบเฉียบพลัน ต่างจากอาการปวดหัวทั่วไป
2. โรคหัวใจขาดเลือด
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบต่างๆ ในร่างกายย่อมเสื่อมสภาพตามกาลเวลา เช่นเดียวกับหัวใจที่เสื่อมตามวัย ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจได้หลายชนิด หนึ่งในโรคหัวใจที่พบบ่อยและอันตรายในผู้สูงอายุคือ โรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือด เกิดจากการที่หลอดเลือดหัวใจตีบแคบหรืออุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน เกิดอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก สาเหตุหลักของโรค ได้แก่ การสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ลิ่มเลือดอุดตัน โรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน เป็นต้น
หรือสาเหุตจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ ซึ่งสารเคมีในบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ลดคอเลสเตอรอลและทำให้ร่างกายแข็งแรง อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- เจ็บหน้าอกรุนแรง แน่นหน่วง บริเวณกลางอก อาจร้าวไปที่แขนซ้าย ไหล่ คอ หรือกราม
- หายใจลำบาก หายใจไม่ทัน
- เหงื่อออกมาก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- รู้สึกอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ
- ใจสั่น
3. โรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นหนึ่งในโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากระบบข้อเข่าที่มีการสึกหรออย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในบริเวณกระดูกอ่อน ทำให้เกิดอาการปวด บวม และมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว สาเหตุหลักมาจากการสึกหรอตามธรรมชาติของร่างกาย แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถเร่งการเกิดโรคได้ เช่น น้ำหนักที่มากเกินไป การบาดเจ็บที่ข้อเข่า หรือพันธุกรรม
อาการที่พบได้แก่:
- อาการปวดที่ข้อเข่า ซึ่งมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อยืนหรือเดินเป็นเวลานาน
- รู้สึกว่าข้อเข่าติดขัด ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
- บวมและมีอาการอักเสบรอบๆ ข้อเข่า
- มีเสียงดังกรอบแกรบเมื่อเคลื่อนไหวข้อเข่า
- ความแข็งแรงในข้อเข่าลดลง ทำให้ประสบปัญหาในการทรงตัว
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิต ซึ่งรวมถึงการใช้ยาแก้ปวด การทำกายภาพบำบัด การเลือกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน หรือการผ่าตัดในกรณีที่รุนแรง
4. โรคเกาต์
โรคเกาต์เป็นโรคทางรูมาติซึมที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก มักจะเริ่มต้นที่ข้อต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่ข้อเท้า เนื่องจากการสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อต่อ เมื่อระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นจนร่างกายไม่สามารถขจัดออกได้เพียงพอ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
- การบริโภคอาหารที่มีสารพูรีนสูง เช่น เนื้อสัตว์แดง อาหารทะเลบางชนิด
- การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยเฉพาะเบียร์
- น้ำหนักเกิน และโรคอ้วน
- ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันที่มีผลข้างเคียงทำให้ระดับกรดยูริกสูงขึ้น
อาการที่พบ
- ความเจ็บปวดที่ข้อต่ออย่างฉับพลัน มักเริ่มขึ้นในช่วงกลางคืน
- ข้อต่อที่เกิดการอักเสบจะแดง บวม และร้อน
- อาการเจ็บปวดที่ข้อต่อมักจะแย่ลงเมื่อมีการเคลื่อนไหว
- อาการอาจคงที่ไม่ดีขึ้นหลายวันหรือหลายสัปดาห์
การรักษา
การรักษาโรคเกาต์มุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการปวดและการควบคุมระดับกรดยูริกในเลือด เพื่อป้องกันการเกิดอาการเฉียบพลันในอนาคต เช่น:
- ใช้ยาแก้ปวดและยาลดการอักเสบ
- การใช้ยาที่ช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือด
- การแก้ไขพฤติกรรมการกิน ลดการบริโภคอาหารที่มีสารพูรีนสูงและอาหารที่กระตุ้นการสร้างกรดยูริก
- การดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยขจัดกรดยูริกออกจากร่างกาย
การป้องกัน
การป้องกันโรคเกาต์ทำได้โดยการควบคุมอาหารและน้ำหนักตัว หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์ และดูแลร่างกายให้มีสุขภาพดี เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำและการรับประทานอาหารที่สมดุล.
5. โรคตาในผู้สูงอายุ
โรคตาเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ การเสื่อมสภาพของการมองเห็นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก นี่คือโรคตาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ:
5.1 ต้อหิน (Glaucoma)
ต้อหินเกิดจากความดันภายในลูกตาที่สูงเกินไป ซึ่งอาจทำลายเส้นประสาทตา ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ แนวทางในการรักษามักจะเริ่มด้วยการใช้ยาหยอดตา เพื่อลดความดันในลูกตา และในบางกรณีอาจต้องใช้การผ่าตัด
5.2 ต้อลม (Cataract)
ต้อลมเป็นภาวะที่เลนส์ในตาเกิดการขุ่นมัว ทำให้ภาพที่มองเห็นดูเบลอ ต้อลมพัฒนาได้จากการแก่ตัวของเนื้อเยื่อและสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนเลนส์ในตา
5.3 จอประสาทตาเสื่อม (Age-related Macular Degeneration, AMD)
เป็นโรคที่ทำให้ศูนย์กลางของเขตการมองเห็น (มาคิวลา) เสื่อมสภาพ ส่งผลให้การมองเห็นรายละเอียดในศูนย์กลางถูกรบกวน โรคนี้สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ แบบแห้งและแบบเปียก การรักษาอาจรวมถึงการใช้ยาหยอดตา การฉีดยาเข้าไปในตา หรือการใช้แสงเลเซอร์
5.4 โรคตาเบาหวาน (Diabetic Retinopathy)
หากคุณเป็นโรคเบาหวาน คุณอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตาเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีสามารถช่วยลดความเสียงในการเกิดภาวะนี้
การตรวจตาเป็นประจำกับจักษุแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อตรวจจับปัญหาต่างๆ เหล่านี้ในระยะแรก ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและคงความสามารถในการมองเห็นไว้ได้นานขึ้น.
สรุปโรคในผู้สูงอายุ
ไม่ว่าจะดูแลตัวเองดีแค่ไหนก็ตาม เราก็หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงและการเสื่อมสภาพลงของร่างกายเราไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นการเตรียมตัวรับมือกับโรคในผู้สูงอายุ ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ การทําประกันชีวิตให้พ่อแม่ หรือผู้สูงอายุ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเตรียมพร้อมที่สำคัญนะคะ เพราะเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาแล้วอาจสายเกินไป ค่ารักษาพยาบาลที่ตามมาอาจส่งผลให้เงินที่เก็บและหวังว่าจะได้ใช้ตอนเกษียณหมดไปได้
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ในการนำความรู้ไปใช้ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ให้มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุข และใช้ชีวิตได้อย่างยาวนาน
ขอบคุณที่มา : www.nakornthon.com