เปรียบเทียบประกันสุขภาพจากหลายบริษัท เพื่อแผนที่ใช่สำหรับคุณ การเลือก ประกันสุขภาพที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องของเบี้ยประกันถูก แต่ต้องพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น ความคุ้มครองที่ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายที่จ่ายได้จริง และความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน

ปัจจัยสำคัญในการเลือกประกันสุขภาพ
- ความคุ้มครองครอบคลุมแค่ไหน
- ค่ารักษาผู้ป่วยใน-ผู้ป่วยนอกผู้ป่วย
- ค่าห้อง ค่ายา ค่าผ่าตัด
- ค่ารักษาโรคร้ายแรง หรือโรคเรื้อรัง
2.วงเงินคุ้มครองเพียงพอหรือไม่
- ประกันสุขภาพที่ดีควรมีวงเงินสูงพอรองรับโรงพยาบาลชั้นนำ ทั้งนี้อาจจะต้องคำนึงถึงโรคที่เข้ารับการรักษาด้วย เช่นถ้าหากเป็นโรคทั่วไป simple disease ค่าใช้จ่ายในการรักษากรณีที่นอนโรงพยาบาลจะอยู่ราวๆ 30,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับโรงพบาบาลที่ใช้บริการ และถ้าหากเป็นโรคที่มีการผ่าตัด หรือรักษาติดตามอาการ เช่น โรคมะเร็ง หัวใจ สมอง ในส่วนนี้ค่ารักษาพยาบาลอาจจะเกิน 1,000,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับแนวทางการรักษาและโรงพยาบาลด้วยค่ะ
3.สามารถเลือกโรงพยาบาลได้หรือไม่
- มีเครือข่ายโรงพยาบาลเยอะไหม? หากเรามีประกันสุขภาพอยู่การที่เราเลือกบริษัทประกันที่มีโรงพยาบาลคู่สัญญากับบริษัทประกันนั้นๆ ส่วนใหญ่แล้วจะมีบริการการเสริมนั่นก็คือบริการ Fax claim ไม่ต้องสำรองจ่าย แต่หากเลือกใช้โรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลอื่นๆที่ไม่ใช่คู่สัญญาสามารถนำใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลตัวจริงมาเบิกเคลมได้ภายหลังผ่านตัวแทนประกันชีวิต
4.เบี้ยประกันเหมาะกับงบประมาณ
- ค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่แนะนำสามารถคำนวณได้จากรายได้ต่อปีประมาณ 5% -10% ต่อปี ยกตัวอย่างเช่น เรามีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 600,000 บาท(เดือนละ 50,000 บาท) ในหมวดประกันที่ใช้สำหรับโอนย้ายความเสี่ยงจะอยู่ประมาณ 25,000 – 50,000 บาท
5.มีบริการเสริมประกันสุขภาพ
- ส่วนลดค่าเบี้ยประกันปีต่อ โดยการออกกำลังกายหรือดูแลสุขภาพ
- บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์
- ส่วนลดบริการเสริมอื่นๆ เช่น ส่วนลดค่าฟิตเนสรายปี ส่วนลดในการซื้อผักและผลไม้

ประกันสุขภาพที่ไหนดี? คำตอบอยู่ที่ “คุณต้องการอะไร”
- หากคุณต้องการ ความคุ้มครองสูงสุด – เลือกแผนประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ข้อดีคือไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลเกินวงเงินในแต่ละหมวด เพราะเป็นวงเงินเหมาจ่าย ส่วนใหญ่แล้วหากใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพและปริมลฑลเป็นหลัก จะแนะนำเป็นนี้เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในกรุงเทพค่อนข้างสูง
- หากคุณต้องการ เบี้ยประกันที่ไม่แพงมาก – เลือกแผนประกันสุขภาพแบบแยกหมวดค่าใช้จ่ายข้อดีของแผนนี้ช่วยในเรื่องแบ่งเบาค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล อาจจะมีส่วนต่างบางหมวดขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาลหากคุณใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐบาลและต้องการตัวเลือกที่ดีกว่าการใช้สิทธิที่รัฐบาลมีก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ หรือหากมีสวัสดิการประกันกลุ่ม หรือข้าราชการอยู่แล้ว การมีประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่ายก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ
- หากคุณเป็นเจ้าของบริษัทต้องการประกันสุขภาพที่คุ้มค่า– การเลือกแผนประกันสุขภาพแบบกลุ่มสามารถทำได้ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข้อดีคือสามารถออกแบบวงเงินค่ารักษาเองได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าห้อง วงเงินความคุ้มครองต่อการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน วงเงินค่ารักษาผู้ป่วยนอก ค่าทำฟัน ค่าตรวจสุขภาพประจำปี ก็สามารถออกแบบความคุ้มครองได้เอง และที่สำคัญค่าเบี้ยประกันคุ้มค่า

ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแต่ละโรค
- ตรวจสุขภาพทั่วไป ค่าใชจ่ายโดยเฉลี่ย 2,000 – 5,000 บาท
- ค่ารักษาอุบัติเหตุทั่วไปเล็กน้อย 2,000 – 10,000 บาท
- นอนโรงพยาบาล (ห้องเดี่ยว) ค่าห้องเฉลี่ย 4,000 – 15,000 บาท/คืน
- ผ่าตัดไส้ติ่ง 40,000 – 100,000 บาท
- คลอดบุตรแบบธรรมชาติ 45,000 – 200,000 บาท
- ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า 150,000 – 300,000 บาท
- ค่ารักษามะเร็ง/คีโม 100,000 – 1,000,000+ บาท
หมายเหตุ: ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล แพทย์ และอุปกรณ์ที่ใช้
ทำไมควรมีประกันสุขภาพ?
- ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงเกินที่คนทั่วไปจะจ่ายไหวทันที
- อาจกระทบเงินออมและแผนการเงินระยะยาว
- ภาระอาจตกอยู่กับคนในครอบครัวโดยไม่ตั้งใจ
- การมีประกันช่วยให้คุณเข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
ประกันสุขภาพเหมาจ่าย ดีกว่าแบบทั่วไปยังไง?
ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย (Reimbursement/Unlimited Plan) คือแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองแบบ “วงเงินรวมต่อปี” ซึ่งสามารถใช้ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลได้ตามจริง โดยไม่ต้องแยกรายการย่อย เช่น ค่ายา ค่าห้อง หรือค่าหมอเหมือนแผนทั่วไป

ข้อดีของประกันสุขภาพเหมาจ่าย
- เคลมง่าย จ่ายตามจริง ไม่ต้องเช็กเงื่อนไขย่อยให้ปวดหัว
- คุ้มครองวงเงินสูง หลักล้านบาทต่อปี
- เลือกโรงพยาบาลได้อิสระ ทั้งในและต่างประเทศ (ขึ้นอยู่กับแผน)
- เหมาะกับการรักษาโรคร้ายแรง หรือการผ่าตัดใหญ่ที่มีค่าใช้จ่ายสูง
- ช่วยวางแผนการเงินระยะยาว โดยไม่ต้องกังวลกับค่ารักษาแบบไม่คาดฝัน
ข้อดีของประกันสุขภาพมีตัวแทนดูแล
1. วิเคราะห์ความต้องการเฉพาะบุคคล
- ตัวแทนจะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนประกันแบบเข้าใจง่ายและเลือกวางแผนตามงบประมาณ และเป้าหมาย เพื่อแนะนำแผนประกันที่ตรงจุดที่สุด
2. อธิบายเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างเข้าใจง่าย
- ภาษาและศัพท์ประกันบางทีอ่านเองอาจงง ตัวแทนจะช่วยแปลภาษากฎหมายประกันให้คุณเข้าใจแบบไม่ต้องเดา
3. วางแผนระยะยาวได้ดีกว่า
- ตัวแทนจะช่วยวางแผนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในแต่ละช่วงวัย ไม่ใช่แค่ซื้อวันนี้ แต่คำนึงถึงการวางแผนสุขภาพในอนาคตด้วย
4. บริการหลังการขาย
- ต่ออายุกรมธรรม์
- เปลี่ยนแปลงแผนประกันระหว่างทาง
- เคลมประกัน หรือขอเอกสาร หรือกรณีที่มีปัญหาเรื่องการเคลมตัวแทนมีหน้าที่ประสานงานเพื่อคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลักทั้งหมดนี้ตัวแทนช่วยประสานงานและรายงานความคืบหน้าให้คุณได้อย่างรวดเร็ว
5. มีคนคอยช่วยในช่วงวิกฤต
- เมื่อเกิดเหตุเจ็บป่วย เคลมไม่ได้ หรือมีข้อสงสัย ตัวแทนคือคนที่พร้อมรับสายและช่วยคุณเดินเรื่อง อย่างน้อยการมีตัวแทนคอยเป็นห่วงและติดตามถามไถ่อาการ หรือเยี่ยมไข้ทำให้ลูกค้าอุ่นใจได้มาก
สรุป
ถ้าถามว่า ประกันสุขภาพที่ไหนดีการโอนย้ายความเสี่ยงด้วยประกันสุขภาพ ไม่ได้เป็นแค่การซื้อความคุ้มครอง แต่คือการวางแผนปกป้องอนาคตทางการเงินอย่างชาญฉลาด เมื่อคุณเข้าใจและวางแผนอย่างถูกต้อง คุณจะสามารถใช้ประกันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการลดผลกระทบของเหตุการณ์ไม่คาดคิด และสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและธุรกิจของคุณในระยะยาว
พร้อมวางแผนสุขภาพแบบเหมาจ่ายแล้วหรือยัง?
📞 สนใจวางแผนประกันสุขภาพ
👉 คลิกที่นี่เพื่อติดต่อเรา
“ค่ารักษาแพงแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวล หากคุณมีประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ใช่”


