โรคมือเท้าปาก สาเหตุ อาการและการรักษา รู้ทันป้องกันได้ 2567

โรคมือเท้าปาก รู้ทันป้องกันได้

โรคมือเท้าปาก เกิดจากอะไร

โรคมือเท้าปาก (Hand, Foot, and Mouth Disease) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสคอกแซคกี กลุ่ม เอ,บี (Coxsackie virus group A, B) และ เอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) มีหลายสายพันธุ์ เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ ค็อกแซกกีเอชนิด 16 ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง กรณีที่มีสมองอักเสบร่วมด้วย มักเกิดจากเชื้อเอนเตอโรไวรัส 71 หรือ อีวี 71 มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้

โรคมือ เท้า ปาก พบได้บ่อยในเด็กโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มักมีการระบาดในช่วงฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่อากาศเย็นและชื้น สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ หรือตุ่มน้ำของผู้ป่วย ผู้ที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการก็ได้ หรืออาจมีเพียงอาการไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร บางคนอาจมีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า รอบก้นและอวัยวะเพศ อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขาร่วมด้วย

อาการของโรคมือ เท้า ปาก

โรคมือเท้าปากอาการเริ่มต้น

อาการแรกเริ่มในช่วง 1-2 วันแรก จะมีความรู้สึกไม่สบายตัว จากนั้นเริ่มมีไข้ หลังติดเชื้อ 3-7 วันโดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
  • มีแผลในปาก บริเวณเพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก อาจมีเลือดออกได้
  • มีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า รอบก้นและอวัยวะเพศ อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขาร่วมด้วย

อาการไข้ต่ำๆ มักเป็นอาการเริ่มต้นของโรคมือเท้าปาก โดยมักมีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียส ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และไม่อยากเล่น อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน หลังจากนั้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการมีแผลในปาก โดยมักเกิดที่บริเวณเพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก มีแผลขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวหรือสีแดง มีอาการเจ็บปาก กลืนลำบาก รับประทานอาหารได้น้อยลง ประมาณ 1-2 วันหลังจากมีไข้และมีแผลในปาก

ภาพตัวอย่าง โรคมือ เท้า ปาก เป็นตุ่มบริเวณมือทั้งสองข้างของเด็ก

ภาพตัวอย่าง โรคมือเท้าปาก เป็นตุ่มบริเวณเท้าของเด็ก

ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสขึ้นตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า ง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า รอบก้นและอวัยวะเพศ อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขาร่วมด้วย ลักษณะของผื่นเป็นตุ่มน้ำใสขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร มักไม่คัน อาจมีเลือดออกได้เล็กน้อย อาการของโรคมือ เท้า ปาก ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 7-10 วัน (เต็มที่ไม่เกิน 2 สัปดาห์) ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ และรับประทานยาลดไข้ ยาแก้ปวดตามอาการ สำหรับภาวะแทรกซ้อนของโรคนั้น พบได้น้อยมาก

โดยอาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ (aseptic meningitis) และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทอื่นๆ ได้ แต่ส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาจำเพาะ ผู้ป่วยบางส่วนอาจเจ็บแผลในปากมาก จนทำให้ไม่สามารถกินอาหารและน้ำได้ อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ในเด็กบางรายอาจมีไข้สูงเฉียบพลัน และมีตุ่มน้ำใสที่ด้านหลังของปากและลําคอ ซึ่งอาจเป็นโรคเฮอร์แองจินา (Herpangina) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) เช่นเดียวกับมือ เท้า ปาก หากมีอาการข้างต้น หรือมีอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

อาการเริ่มต้นของโรคมือเท้าปาก มักคล้ายกับอาการของโรคไข้หวัด ผู้ปกครองควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบอาการดังกล่าว ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

 

วิธีรักษาโรคมือเท้าปาก

ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคจากเชื้อไวรัส โดยในปัจจุบันยังไม่มียารักษาจำเพาะของโรค การรักษาจึงทำได้เพียงรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้น้ำลายไหล และให้ดื่มน้ำให้เพียงพอ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคภายใน 7-10 วัน ผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่มักจะมีอาการไม่มาก และเป็นอยู่ไม่เกิน 1 สัปดาห์

ยาลดไข้ที่มักใช้ ได้แก่

  • พาราเซตามอล
  • ไอบูโพรเฟน

ยาแก้ปวดที่มักใช้ ได้แก่

  • พาราเซตามอล
  • ไอบูโพรเฟน

ยาแก้น้ำลายไหลที่มักใช้ ได้แก่

  • ไซลิทอล
  • เกลือแร่

หากมีอาการเจ็บปากมาก อาจใช้ยาชาในช่องปากเฉพาะที่ หรือใช้ยาอมแก้เจ็บปาก

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดบวม แพทย์อาจให้การรักษาเพิ่มเติม เช่น การให้ยาปฏิชีวนะ การให้ยาสเตียรอยด์ การให้ออกซิเจน

อ่านบทความ : ไวรัส RSV สาเหตุ อาการและวิธีรักษา ภัยร้ายใกล้ตัวเด็กเล็ก

การดูแลตนเองที่บ้าน

แนวทางการดูแลตัวเองของผู้ป่วยที่เป็นโรคมือ เท้า ปาก

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
  • รับประทานอาหารอ่อนๆ เย็นๆ รสไม่จัด
  • ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ห้องน้ำ หลังเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และหลังสัมผัสกับผู้ป่วย
  • แยกผู้ป่วยออกจากผู้อื่นในบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค

ควรพบแพทย์เมื่อใด

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้

  • มีไข้สูง 39 องศาเซลเซียส หรือไข้สูงนานกว่า 2 วัน
  • ซึมมาก ไม่ยอมกินอาหาร ไม่ยอมดื่มน้ำ
  • อาเจียนมาก หายใจหอบ กล้ามเนื้อกระตุก และชัก
  • มีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะรุนแรง มองเห็นภาพซ้อน คอแข็ง
  • มีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำกระจายทั่วร่างกาย
  • หากมีอาการนานเกินกว่า 10 วัน
  • เด็กไม่ยอมรับประทานน้ำหรืออาหาร

หากพบว่าเด็กมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ควรพบแพทย์หากเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน หรือเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคมือ เท้า ปาก ได้มากกว่าเด็กทั่วไป

 

โรคมือ เท้า ปาก ห้ามกินอะไร อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อกำลังติดเชื้อ HFMD

โรคมือ เท้า ปาก ห้ามกินอะไร

ผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว หรือมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น มะม่วง มะนาว สับปะรด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ น้ำผลไม้ โซดา เป็นต้น เนื่องจากกรดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อแผลในปากและลำคอ ทำให้อาการเจ็บปวดมากขึ้นได้

ตัวอย่างอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารรสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะเขือเทศ ผลไม้รสเปรี้ยว น้ำผลไม้รสเปรี้ยว
  • อาหารรสเค็มจัด เช่น อาหารทะเล ปลาร้า น้ำปลา ซอสปรุงรส
  • อาหารเผ็ดจัด เช่น พริก อาหารรสเผ็ด
  • อาหารที่มีเนื้อสัตว์แข็ง
  • อาหารที่มีเศษแข็ง เช่น เมล็ดพืช ถั่ว งา
  • อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม
  • อาหารร้อนจัด
  • โซดา

ผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เย็นๆ รสไม่จัด เพื่อให้ง่ายต่อการกลืน และช่วยให้แผลในปากหายเร็วขึ้น ตัวอย่างอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย ได้แก่

ตัวอย่างอาหารที่แนะนำ

  • ข้าวต้ม
  • โจ๊ก
  • ซุป
  • สมูทตี้ผลไม้
  • ไอศกรีม

ผู้ป่วยควรดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ และควรแปรงฟันให้สะอาดหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคในช่องปาก

 

การป้องกันโรคมือเท้าปาก

คุณพ่อ คุณแม่ควรดูแลลูกๆอย่างใกล้ชิดในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่โรคมือ เท้า ปากและไข้หวัดใหญ่มักมีการระบาด สำหรับโรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคติดต่อที่ป้องกันได้ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้

  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ห้องน้ำ หลังเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และหลังสัมผัสกับผู้ป่วย
  • สอนเด็กไม่ให้ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณที่ผู้ป่วยใช้เป็นประจำ
  • สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อพบปะผู้คน
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
  • หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด

วัคซีน

วัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71) เป็นวัคซีนเชื้อตาย ผลิตจากเชื้อไวรัสเอนเทอโรไวรัส 71 (EV71) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปากที่รุนแรง โดยวัคซีนนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส EV71 ช่วยลดโอกาสในการป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก และลดความรุนแรงของโรคหากผู้ป่วยได้รับเชื้อ

วัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปาก (EV71) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2555 โดยแนะนำให้ฉีดให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน จากการศึกษาพบว่า วัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71) สามารถป้องกันการติดเชื้อโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อไวรัส EV71 ได้ประมาณ 90% และสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัส EV71 ได้ 100%

แหล่งอ้างอิง : pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/26732723, tandfonline.com

รู้หรือไม่ : การระบาดของโรคมือเท้าปากในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2555 ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี โดยพบผู้ป่วยมากถึง 17,656 ราย เสียชีวิต 2 ราย ส่งผลให้โรงเรียนทั่วประเทศต้องปิดการเรียนการสอนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เชื้อที่ระบาดในครั้งนั้นเป็น คอกแซคกี เอ6 ซึ่งเป็นเชื้อที่ไม่รุนแรงมากนัก