ไข้เลือดออก สาเหตุ อาการ การรักษา รู้ทันป้องกัน ก่อนสายไป

ไข้เลือดออก สาเหตุ อาการและการรักษา

ไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ (RNA virus) มี 4 สายพันธุ์ย่อย คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 มนุษย์สามารถติดเชื้อได้ทุกสายพันธุ์ โดยมียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค มักพบในประเทศเขตร้อนและระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี

การติดเชื้อสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอด แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราว อาการของโรคมีตั้งแต่ไม่มีอาการผิดปกติไปจนถึงเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

สาเหตุของโรค

ไข้เลือดออกติดต่อผ่านทางพาหะคือยุง โดยเฉพาะผ่านการกัดยุงลายบ้านหรือยุงไข้เหลืองเพศเมีย (Aedes aegypti) เชื้อไวรัสเดงกีสามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางยุงลายตัวเมียที่ติดเชื้อ โดยยุงลายจะดูดเลือดคนที่มีเชื้อไวรัสเดงกี โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูงหรือในระยะที่ไวรัสแพร่กระจายในกระแสเลือด เชื้อจะเข้าสู่ระยะฟักตัวและเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน ไวรัสจะเข้าไปฝังตัวที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง และยุงก็จะกลายเป็นพาหะนำโรคไปสู่คนอื่นๆ เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่โดนกัด โดยระยะฟักตัวของโรคอยู่ที่ 3-14 วัน จึงจะเกิดอาการของโรค

ลักษณะของยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคของไข้เลือดออก
ลักษณะของยุงลายที่เป็นพาหะนำโรค

อาการของโรคไข้เลือดออก

โดยทั่วไปผู้ติดเชื้อไวรัสเด็งกีครั้งแรก ส่วนใหญ่ 80% ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยคล้ายไข้หวัดธรรมดา ในบางรายอาจจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ มีผื่นขึ้นตามผิวหนังลักษณะเฉพาะซึ่งคล้ายกับผื่นของโรคหัด ผู้ป่วยในเด็กมีโอกาสป่วยหนักได้มากกว่าผู้ใหญ่ ถึงแม้จะมีอาการในระยะแรกไม่ค่อยไม่รุนแรง แต่จะมีไข้สูงด้วย

ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง 0.5-6% มีระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึ่งอาจเป็นผลโดยตรงจากการติดเชื้อไวรัสที่สมอง ทำให้เกิดสมองอักเสบ หรือเป็นผลโดยอ้อมจากการที่อวัยวะสำคัญทำงานบกพร่อง อาการไข้เลือดออกแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะไข้ (Fever phase)

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน 39-40 องศาเซลเซียสและมักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ มีอาการคล้ายไข้หวัดแต่ไม่มีอาการไอและไม่มีน้ำมูก นาน 2-7 วัน ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และอาจพบผื่นแดงตามผิวหนัง ผู้ป่วยระยะไข้อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น

  • ปวดศีรษะ มักเป็นปวดศีรษะแบบตุบๆ บริเวณขมับหรือท้ายทอย
  • ปวดกล้ามเนื้อ มักปวดตามกล้ามเนื้อแขน ขา ลำตัว
  • ปวดข้อ มักปวดตามข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า
  • อ่อนเพลีย ผู้ป่วยมักรู้สึกอ่อนเพลียมากจนไม่อยากทำอะไร
  • เบื่ออาหาร ผู้ป่วยมักไม่อยากรับประทานอาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรกของการป่วย
  • ผื่นแดงตามผิวหนัง พบได้ประมาณ 50-80% ของผู้ป่วย ลักษณะผื่นเป็นจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายทั่วร่างกาย

อ่านบทความเกี่ยวกับไข้เพิ่มเติม : ไข้หวัดใหญ่ สาเหตุ อาการ การรักษาและการป้องกัน กี่วันหาย

ระยะวิกฤต (Critical phase)

ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าสู่ระยะนี้ ระยะวิกฤตเป็นระยะที่ 2 หลังจากผ่านระยะไข้ไปแล้ว หรือประมาณ 2-7 วันหลังไข้สูง ระยะนี้เป็นระยะที่ควรเฝ้าระวังมากที่สุด เนื่องจากเป็นระยะที่อันตราย ไข้ลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง ผู้ป่วยอาจมีอาการช็อก เลือดออกตามไรฟัน จมูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ หรือในช่องท้องหรือช่องอก อาการช็อกเกิดจากความดันโลหิตต่ำอย่างฉับพลัน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หายใจลำบาก หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ โดยระยะวิกฤตอาจจะมีอาการดังต่อไปนี้

  • ไข้ลดลดลงอย่างรวดเร็ว
  • ชีพจรเต้นเร็ว
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง
  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ
  • เลือดออกตามไรฟัน
  • กระสับกระส่าย
  • หายใจถี่ ชีพจรเต้นเร็ว
  • มือเท้าเย็น
  • เหงื่อออก
  • อ่อนเพลียมาก
  • ความดันโลหิตต่ำ

ภาวะแทรกซ้อนในระยะวิกฤต

  • เลือดออกในกระเพาะอาหาร
  • อาเจียนเป็นเลือด (เลือดมักจะเป็นสีดำ)
  • ภาวะปอดบวม
  • ภาวะไตวายเฉียบพลัน
  • ภาวะตับวายเฉียบพลัน
  • ภาวะช็อกจากอาการขาดน้ำหรือเสียเลือด (Hypovolemic shock)
  • ภาวะช็อก (dengue shock syndrome)

ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)

เมื่ออาการพ้นระยะวิกฤติและเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ ความดันโลหิตกลับสู่ปกติ อาการเลือดออกหยุดลง ผู้ป่วยระยะฟื้นตัวควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ และรับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารหวานจัด และอาหารที่มีไขมันสูง

ระยะฟื้นตัวของโรคมักกินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ แต่อาจมีอาการอ่อนเพลียและอ่อนล้าอยู่บ้างในระยะแรก

  • ไข้ลดลงจนเป็นปกติ
  • ความดันโลหิตกลับสู่ปกติ
  • อาการเลือดออกหยุดลง
  • บางรายมีผื่นแดงและมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามลำตัว
  • ผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ อ่อนเพลียน้อยลง เบื่ออาหารน้อยลง และเริ่มอยากรับประทานอาหาร

กรณีที่เป็นผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกีเป็นครั้งที่ 2 และเป็นเชื้อไวรัสต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการและความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

ลักษณะผื่นของโรคไข้เลือดออก
ลักษณะผื่นของไข้เลือดออก

วิธีสังเกตอาการ ไข้เลือดออก

อาการมักเริ่มจากมีไข้สูงติดต่อกัน 2-7 วัน ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระบอกตา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว ในบางรายอาจพบจุดเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดออกในทางเดินอาหาร

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้น สามารถทำได้ดังนี้

  • ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย หากพบว่ามีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส ให้สังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
  • ไข้สูง มักมีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2-7 วัน
  • ปวดศีรษะ ปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณบริเวณขมับ หน้าผาก หรือท้ายทอย
  • ปวดเมื่อยตามตัว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อ
  • ปวดกระบอกตา ปวดกระบอกตาทั้งสองข้าง
  • ตาแดง ตาแดง อาจมีเลือดออกใต้เยื่อบุตาขาว
  • เบื่ออาหาร เบื่ออาหาร ไม่อยากรับประทานอาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีอาเจียนเป็นเลือดได้
  • ถ่ายเหลว ถ่ายเหลว อาจมีถ่ายเป็นเลือดได้
  • สังเกตอาการมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง อาการมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง มักเป็นจุดเลือดออกขนาดเล็กสีแดง คล้ายผื่นลมพิษ

หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการเข้าข่ายดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที

 

การรักษาโรคไข้เลือดออก

ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคไข้เลือดออกโดยตรง การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง แพทย์อาจให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้อาเจียน และยาบำรุงร่างกาย ในบางรายที่มีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล โดยแพทย์อาจให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ยาต้านเกล็ดเลือด และยาอื่นๆ เพื่อช่วยรักษาอาการและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน

การรักษาในระยะไข้

  • ยาลดไข้ เช่น ยาลดไข้ที่แนะนำให้ใช้คือ ยาพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินหรือยากลุ่ม NSAID เนื่องจากอาจทำให้เลือดออกได้ง่าย
  • ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวดชนิดอื่นๆ ที่ไม่ส่งผลข้างเคียงต่อระบบเลือด
  • ยาแก้อาเจียน เช่น ยาเมโทโคลพราไมด์ เพื่อช่วยในเรื่องของการแก้อาเจียนและการสูญเสียน้ำ
  • การให้ผงเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย

การรักษาในระยะวิกฤต

  • ยากระตุ้นความดันโลหิต เช่น ยาโดปามีน หรือยาอีพิเนฟรีน
  • การให้เลือด การให้เลือดหรือพลาสมาทดแทนเป็นการรักษาที่จำเป็นในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกหรือเลือดออกในปริมาณมาก
  • การให้สารน้ำทางหลอดเลือด ให้น้ำเกลือผ่านทางเส้นเลือดดำ ในผู้ที่มีการสูญเสียน้ำในร่างกายมาก อาเจียนหรือถ่ายอุจจาระอย่างต่อเนื่อง

การดูแลตนเอง

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
  • รับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารหวานจัด และอาหารที่มีไขมันสูง
  • สังเกตอาการของตนเอง หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูง เลือดออกผิดปกติ ปวดศีรษะรุนแรง หน้ามืด มือเท้าเย็น ควรรีบไปพบแพทย์

ในระหว่างการรักษา แพทย์จะทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจค่าเลือดเป็นระยะๆ เพื่อเฝ้าระวังภาวะผิดปกติของเม็ดเลือด เช่น เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวลดต่ำ เม็ดเลือดแดงเข้มข้น หรือความดันโลหิตต่ำ

ข้อมูลจาก : https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/dengue-fever

การป้องกัน

การป้องกันโรคสามารถทำได้โดย

  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย เช่น ภาชนะที่มีน้ำขัง
  • ใส่เสื้อผ้าที่ป้องกันยุงกัด เช่น เสื้อแขนยาว กระโปรงยาว รองเท้าปิดส้น
  • ทายากันยุง
  • ใช้มุ้งกันยุง

การฉีดวัคซีนป้องกัน

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันอยู่ 2 ชนิด ได้แก่

  1. วัคซีน Dengvaxia เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ผลิตจากไวรัสเดงกีสายพันธุ์ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 วัคซีนชนิดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในประเทศไทย สำหรับผู้ที่มีอายุ 9-45 ปี เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยฉีด 3 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน
  2. วัคซีน QDenga เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ผลิตจากไวรัสเดงกีสายพันธุ์ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 วัคซีนชนิดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในประเทศไทย สำหรับผู้ที่มีอายุ 4-60 ปี โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน

ทั้งนี้ วัคซีนทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ประมาณ 66-80% และช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ประมาณ 90-95%

ข้อควรระวังในการฉีดวัคซีนป้องกัน

  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาหรือวัคซีนชนิดใดชนิดหนึ่ง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีน

  • ปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีด
  • ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีไข้

อาการข้างเคียงเหล่านี้มักไม่รุนแรงและหายไปเองภายใน 1-2 วัน

แหล่งที่มา

  1. www.medparkhospital.com
  2. www.bumrungrad.com
  3. www.bangkokhospital.com
  4. www.siphhospital.com/th